อีกหน้าที่หนึ่งของนายจ้างที่มีต่อประกันสังคม คือการนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนซึ่งประกอบไปด้วย 2 กองทุน คือ กองทุนประกันสังคม และ กองทุนเงินทดแทน ซึ่งแต่ละกองทุนมีความแตกต่างกันดังนี้
กองทุนประกันสังคม
คือกองทุนที่ดูแลลูกจ้างหรือผู้ประกันตนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ที่ไม่เกิดจากการทำงานให้นายจ้าง นอกจากนี้ยังคุ้มครองถึงกรณี คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงานอีกด้วย โดยเงินสมทบกองทุนนี้จะมาจากลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล ที่มีหน้าที่นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนทุกเดือนที่มีการจ่ายค่าจ้าง
อัตราการนำส่งเงินสมทบ
กฏหมายกำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่นำส่งเงินสมทบโดยหักจากเงินค่าจ้างของลูกจ้างในอัตราร้อยละ 5 และนายจ้างจะต้องสมทบในอัตราเท่ากันคือร้อยละ 5 และรัฐบาลร่วมจ่ายสมทบด้วยในอัตราร้อยละ 2.75
แล้วจึงนำส่งสำนักงานประกันสังคมพร้อมยื่นแบบแสดงรายการส่งเงินสมทบ (สปส.1-10) ในกรณีที่เดือนนั้นมีลูกจ้างป่วยไม่มีค่าจ้างให้ใส่ค่าจ้างเป็น 0 และเงินสมทบเป็น 0
- วิธีการคำนวณ
จะคำนวณเงินสมทบจากค่าจ้างลูกจ้าง ในอัตราร้อยละ 5 ซึ่งกำหนดไว้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และสูงสุดไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท
นำส่งเมื่อไหร่
กฎหมายกำหนดให้นายจ้างนำส่งเงินสมทบให้แก่สำนักงานประกันสังคมทุกเดือน โดยจะต้องนำส่งภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ เช่น เงินสมทบงวดค่าจ้างเดือนตุลาคม 2562 นายจ้างต้องนำส่งภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562
- เอกสารที่นำส่งและวิธีการชำระเงิน
- ยื่นแบบสปส. 1-10
- สามารถชำระเงินได้ที่สำนักงานประกันสังคม, ที่ทำการไปรษณีย์, หักผ่านธนาคาร (ยกเว้นธ.ออมสินและธกส.) และเคาน์เตอร์เซอร์วิส, ธ.กรุงศรีฯ, ธ.กรุงไทย, ธ.ธนชาต
ข้อควรระวัง: หากส่งเงินสมทบเกินวันที่กำหนด ต้องจ่ายเงินเพิ่มร้อยละ 2 ต่อเดือน หรือหากนายจ้างไม่นำส่งเงินสมทบ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กองทุนเงินทดแทน
คือ กองทุนที่ดูแลลูกจ้างเมื่อประสบอันตราย เจ็บป่วย เสียชีวิต หรือสูญหาย อันเนื่องมาจากการทำงานให้นายจ้าง โดยกองทุนเงินทดแทนนี้จะจัดเก็บจากนายจ้างฝ่ายเดียว
อัตราการนำส่งเงินสมทบ
อัตราเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ที่จัดเก็บจากนายจ้างแต่ละรายจะแตกต่างกันตามลักษณะความเสี่ยงภัยในการทำงานของแต่ละกิจการ ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ 131 ประเภทกิจการ อัตราเงินสมทบระหว่าง 0.2% – 1.0% ของค่าจ้าง เช่น กิจการขายอาหารจ่ายเงินสมทบ 0.2% ของค่าจ้าง ถ้าเป็นกิจการก่อสร้างจ่ายเงินสมทบ 1.0% ของค่าจ้าง เป็นต้น
และเมื่อนายจ้างจ่ายเงินสมทบครบ 4 ปี ปฏิทินแล้ว ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป อัตราเงินสมทบอาจจะลด หรือเพิ่มขึ้นจากเดิมขึ้นอยู่กับค่าของอัตราส่วนการสูญเสียซึ่งสำนักงานฯ ได้เก็บสถิติข้อมูลไว้
- วิธีการคำนวณ
เงินสมทบจะคำนวณจากค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้างทุกคนรวมทั้งปี X อัตราเงินสมทบของกิจการนั้น หากลูกจ้างคนใดได้รับค่าจ้างเกินกว่า 240,000 บาทต่อปี ให้นำมาคำนวณเพียง 240,000 บาท
- นำส่งเมื่อไหร่
เงินสมทบกองทุนเงินทดแทนจัดเก็บปีละ 2 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 จัดเก็บภายใน 31 มกราคมของทุกปี เรียกว่า “เงินสมทบประจำปี” เว้นแต่ปีแรกที่ขึ้นทะเบียนนายจ้างต้องจ่ายภายใน 30 วันนับแต่มีลูกจ้าง 1 คนขึ้นไป
ครั้งที่ 2 จัดเก็บภายใน 31 มีนาคมของทุกปี เรียกว่า “เงินสมทบจากการรายงานค่าจ้าง” เนื่องจากเงินสมทบที่จัดเก็บเมื่อต้นปี คำนวณมาจากค่าจ้างที่ได้ประมาณการไว้ล่วงหน้า x อัตราเงินสมทบ และในระหว่างปีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่ม หรือลดค่าจ้าง ดังนั้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีนายจ้างจึงมีหน้าที่แจ้งจำนวนค่าจ้างที่จ่ายให้ลูกจ้างทุกคนที่จ่ายทั้งปีที่แล้ว ไปให้สำนักงานประกันสังคมทราบอีกครั้ง ตามแบบใบแสดงเงินสมทบประจำปี (กท 20) เพื่อจะนำไปเปรียบเทียบกับค่าจ้างที่ได้ประมาณการไว้เมื่อต้นปี หากค่าจ้างที่ประมาณไว้เดิมน้อยกว่าก็จะเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มภายในเดือนมีนาคม เว้นแต่ค่าจ้างที่ประมาณการสูงกว่าค่าจ้างจริง นายจ้างก็จะได้รับเงินสมทบส่วนที่จ่ายเกินคืนไป
- เอกสารที่นำส่ง
สำนักงานประกันสังคม จะแจ้งยอดเงินสมทบที่นายจ้างต้องชำระให้ทราบล่วงหน้าพร้อมทั้งกำหนดวันชำระเงินตามแบบต่าง ๆ ดังนี้
ใบประเมินเงินสมทบประจำปี (กท.26 ก) สำหรับเรียกเก็บเงินสมทบต้นปี
ใบแจ้งเงินสมทบจากการรายงานค่าจ้าง (กท.25 ค) สำหรับเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มจากการรายงานค่าจ้าง
ใบแจ้งเงินสมทบจากการตรวจบัญชี (กท.25 ก) สำหรับเรียกเก็บเงินสมทบภายหลังทราบผลการตรวจบัญชีประจำปี
- วิธีการชำระเงิน
– เงินสดหรือเช็ค ที่สำนักงานประกันสังคม
– ธนาณัติ
– โอนเงินผ่านธนาคารกรุงไทย (มหาชน) จำกัด
ข้อควรระวัง: หากนายจ้างจ่ายเงินสมทบเกินเวลาที่กำหนด จะต้องจ่ายค่าปรับ 3% ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย