ฝ่ายบุคคลมีกี่ส่วน เจาะลึกโครงสร้างงาน HR แบบครบวงจร

โครงสร้าง HR แบบครบวงจร เจาะลึกฝ่ายบุคคล

ฝ่ายบุคคลหรือ Human Resources (HR) เจาะลึกโครงสร้างงาน HR แบบครบวงจร มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในองค์กร ซึ่งรวมถึงการดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีคุณภาพ การพัฒนาทักษะ และการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีในองค์กร โครงสร้างของฝ่ายบุคคลมักแบ่งออกเป็นหลายๆ ส่วน เพื่อให้ครอบคลุมการทำงานที่หลากหลาย

โครงสร้างงาน เจาะลึกโครงสร้างงาน HR แบบครบวงจร

ฝ่ายบุคคลในองค์กรสมัยใหม่มักแบ่งออกเป็น 6 ส่วนหลักๆ ที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อให้การจัดการทรัพยากรบุคคลมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการขององค์กรและพนักงานได้ดีที่สุด โครงสร้างงาน HR แบบครบวงจร ซึ่งประกอบด้วย:

1. การสรรหาบุคลากร (Recruitment)

การสรรหาบุคลากรเป็นหนึ่งในหน้าที่หลักของฝ่ายบุคคลที่ช่วยให้บริษัทมีทีมงานที่มีทักษะและความสามารถที่เหมาะสมกับองค์กร โดยการสรรหาจะประกอบไปด้วยกระบวนการต่างๆ เช่น การประกาศรับสมัครงาน การคัดกรองใบสมัคร การสัมภาษณ์ และการเลือกสรรผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุด

ฟังก์ชันหลัก:

  • ประกาศตำแหน่งงาน: การโพสต์ตำแหน่งงานผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น LinkedIn, JobThai
  • คัดกรองใบสมัคร: ใช้เครื่องมืออย่าง ATS (Applicant Tracking System) ในการคัดกรองและจัดการใบสมัคร
  • สัมภาษณ์และคัดเลือก: การสัมภาษณ์ผู้สมัคร โดยอาจใช้วิธีต่างๆ เช่น การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ การสัมภาษณ์ด้วยวิดีโอ หรือการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว

ตัวอย่าง:

  • บริษัท A ใช้ระบบ AI ในการคัดกรองใบสมัครงาน ซึ่งช่วยให้การคัดเลือกผู้สมัครมีความแม่นยำและเร็วขึ้น

2. การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ (Learning and Development – L&D)

การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความสามารถของพนักงานและพัฒนาศักยภาพขององค์กรในระยะยาว ฝ่ายบุคคลจะรับผิดชอบในการจัดทำโปรแกรมการฝึกอบรมที่เหมาะสมเพื่อให้พนักงานสามารถพัฒนาทักษะใหม่ๆ และเติบโตในสายอาชีพ

ฟังก์ชันหลัก:

  • การฝึกอบรมทักษะที่จำเป็น: จัดหลักสูตรเพื่อเพิ่มทักษะที่จำเป็นในอุตสาหกรรมหรือในองค์กร
  • การพัฒนาผู้นำ: พัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมสำหรับการสร้างผู้นำในองค์กร
  • การใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้ (LMS): การใช้ Learning Management System (LMS) ในการติดตามและบริหารจัดการการฝึกอบรมออนไลน์

ตัวอย่าง:

  • บริษัท B ใช้ Moodle เพื่อสร้างและติดตามหลักสูตรการเรียนออนไลน์ที่ช่วยให้พนักงานสามารถเรียนรู้ทักษะต่างๆ ได้ตามเวลาที่สะดวก

3. การบริหารผลการทำงาน (Performance Management)

การบริหารผลการทำงานเป็นกระบวนการที่ช่วยให้พนักงานเข้าใจถึงเป้าหมายขององค์กรและสามารถพัฒนาทักษะการทำงานอย่างต่อเนื่อง การประเมินผลการทำงานจะช่วยให้ทราบถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของพนักงาน เพื่อพัฒนาและให้รางวัลตามผลการทำงาน

ฟังก์ชันหลัก:

  • การตั้งเป้าหมาย: การตั้ง OKR (Objectives and Key Results) หรือ KPI (Key Performance Indicators) เพื่อเป็นเกณฑ์ในการวัดผลการทำงาน
  • การประเมินผลการทำงาน: การประเมินผลจากการทำงานของพนักงาน ซึ่งอาจใช้วิธี 360-Degree Feedback หรือการประเมินผลประจำปี
  • การให้ข้อเสนอแนะ: การจัดการประชุมระหว่างผู้จัดการและพนักงานเพื่อให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนา

ตัวอย่าง:

  • บริษัท C ใช้ Lattice เพื่อทำการประเมินผลและติดตามผลการทำงานของพนักงานโดยใช้ Continuous Feedback หรือการให้ข้อเสนอแนะอย่างต่อเนื่อง

4. การบริหารเงินเดือนและสวัสดิการ (Compensation and Benefits)

การบริหารเงินเดือนและสวัสดิการเกี่ยวข้องกับการกำหนดระบบเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่พนักงานจะได้รับ ซึ่งรวมถึงเงินเดือน ค่าตอบแทน โบนัส สวัสดิการด้านสุขภาพ และสิทธิ์ในการลาต่างๆ

ฟังก์ชันหลัก:

  • การกำหนดโครงสร้างเงินเดือน: การจัดทำแผนเงินเดือนและสวัสดิการเพื่อให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมและตลาดแรงงาน
  • การคำนวณเงินเดือน: การใช้ระบบ HRIS หรือ Payroll Software เพื่อคำนวณและจัดการเงินเดือนอย่างถูกต้อง
  • การให้สวัสดิการ: การจัดสวัสดิการต่างๆ เช่น ประกันสุขภาพ โบนัส การลาพักร้อน

ตัวอย่าง:

  • บริษัท D ใช้ Gusto ในการคำนวณและจัดการเงินเดือน รวมถึงสวัสดิการต่างๆ เพื่อให้พนักงานได้รับสิทธิ์ตามที่กำหนด

5. การพัฒนาและการรักษาความสัมพันธ์กับพนักงาน (Employee Engagement and Relations)

ฝ่ายบุคคลจะมีบทบาทในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงานและองค์กร เพื่อเพิ่มความพึงพอใจและความผูกพันของพนักงาน นอกจากนี้ยังช่วยแก้ไขข้อขัดแย้งหรือปัญหาที่เกิดขึ้นภายในองค์กร

ฟังก์ชันหลัก:

  • การสำรวจความพึงพอใจของพนักงาน: การทำ Employee Engagement Surveys เพื่อตรวจสอบระดับความพึงพอใจของพนักงาน
  • การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์: การจัดกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความผูกพันของพนักงานในองค์กร
  • การจัดการข้อร้องเรียน: การรับฟังและแก้ไขข้อร้องเรียนหรือปัญหาต่างๆ ที่พนักงานอาจเผชิญ

ตัวอย่าง:

  • บริษัท E ใช้ SurveyMonkey ในการสำรวจความพึงพอใจของพนักงาน และจัดกิจกรรมภายในบริษัทเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงาน

6. การจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์ (HR Analytics and Data Management)

การใช้ข้อมูลในการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญในยุคดิจิทัล HR Analytics ช่วยให้ฝ่ายบุคคลสามารถทำการตัดสินใจที่มีข้อมูลสนับสนุน โดยการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลการจ้างงาน การลาออก การประเมินผลการทำงาน เพื่อใช้ในการวางแผนและการพัฒนา

ฟังก์ชันหลัก:

  • การรวบรวมข้อมูล HR: การจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เช่น ข้อมูลการจ้างงาน การลาออก หรือผลการประเมิน
  • การวิเคราะห์ข้อมูล: การใช้ HR Analytics ในการประเมินและทำนายแนวโน้มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
  • การสร้างรายงาน: การใช้ข้อมูลที่รวบรวมมาสร้างรายงานที่ช่วยในการตัดสินใจ

ตัวอย่าง:

  • บริษัท F ใช้ Tableau ในการสร้างรายงานข้อมูลทรัพยากรบุคคล เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจในเรื่องการสรรหาและพัฒนาพนักงาน

โครงสร้างฝ่ายบุคคลแบบครบวงจรในยุคดิจิทัล

ในยุคดิจิทัล โครงสร้างฝ่ายบุคคลมีการปรับเปลี่ยนไป โดยมีการเพิ่มบทบาทของเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงานมากขึ้น เช่น

  • ฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลทรัพยากรบุคคล: ใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของพนักงาน คาดการณ์ความต้องการบุคลากรในอนาคต และพัฒนากลยุทธ์ด้านทรัพยากรบุคคล
  • ฝ่าย Talent Acquisition: เน้นการสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถเฉพาะทางและมีความสอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร
  • ฝ่าย Employee Experience: มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานตลอดระยะเวลาที่ทำงานในองค์กร
  • ฝ่าย Diversity & Inclusion: ส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียมในองค์กร

ปัจจัยที่ส่งผลต่อโครงสร้างฝ่ายบุคคล

  • ขนาดขององค์กร: องค์กรขนาดใหญ่จะมีโครงสร้างฝ่ายบุคคลที่ซับซ้อนกว่าองค์กรขนาดเล็ก
  • ลักษณะธุรกิจ: องค์กรที่มีธุรกิจที่แตกต่างกันก็จะมีโครงสร้างฝ่ายบุคคลที่แตกต่างกัน
  • วัฒนธรรมองค์กร: วัฒนธรรมองค์กรจะส่งผลต่อการออกแบบโครงสร้างฝ่ายบุคคล
  • เทคโนโลยี: การนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยให้โครงสร้างฝ่ายบุคคลมีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โครงสร้างงาน HR แบบครบวงจรประกอบด้วย 6 ส่วนหลักๆ คือ การสรรหาบุคลากร, การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ, การบริหารผลการทำงาน, การบริหารเงินเดือนและสวัสดิการ, การพัฒนาและรักษาความสัมพันธ์กับพนักงาน, และการจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์แต่ละส่วนทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประสิทธิภาพและความสมบูรณ์แบบในการบริหารทรัพยากรบุคคลในองค์กร

ประโยชน์ของโครงสร้างงาน HR แบบครบวงจร

โครงสร้างงาน HR แบบครบวงจรช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่การสรรหาพนักงานจนถึงการรักษาพนักงานที่มีศักยภาพไว้ในองค์กร โครงสร้างนี้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินงานขององค์กร และตอบสนองต่อความท้าทายในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยการใช้ทรัพยากรมนุษย์ในทางที่ดีที่สุด

1. การสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพ

โครงสร้างงาน HR แบบครบวงจรทำให้กระบวนการสรรหาพนักงานมีความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยการใช้เทคโนโลยีช่วยในการคัดกรองและเลือกสรรผู้สมัครที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานและวัฒนธรรมขององค์กร การใช้ระบบ ATS (Applicant Tracking System) ทำให้สามารถจัดการข้อมูลผู้สมัครได้ง่ายและรวดเร็ว

ประโยชน์:

  • ลดเวลาการสรรหา: การคัดเลือกผู้สมัครที่เหมาะสมจะเร็วขึ้นด้วยการใช้เทคโนโลยี เช่น AI หรือระบบการคัดกรองอัตโนมัติ
  • หาคนที่มีคุณภาพ: การประเมินคุณสมบัติผู้สมัครอย่างแม่นยำ ทำให้ได้พนักงานที่มีทักษะและคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการขององค์กร
  • ลดความผิดพลาดในการสรรหา: ลดโอกาสในการเลือกคนที่ไม่เหมาะสมจากการใช้ระบบที่ช่วยคัดกรองข้อมูลที่เป็นประโยชน์

2. การพัฒนาทักษะพนักงานอย่างต่อเนื่อง

การพัฒนาและการฝึกอบรมพนักงานในโครงสร้าง HR ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างแรงงานที่มีทักษะที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการในอนาคตได้ การใช้ Learning Management System (LMS) หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ ช่วยให้การฝึกอบรมพนักงานมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากขึ้น

ประโยชน์:

  • พัฒนาทักษะใหม่ๆ ให้กับพนักงาน: พนักงานสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่สำคัญต่อการทำงาน โดยไม่จำเป็นต้องออกจากที่ทำงาน
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: เมื่อพนักงานได้รับการฝึกอบรมที่เหมาะสม พวกเขาจะทำงานได้มีประสิทธิภาพและมีทักษะที่ทันสมัย
  • รองรับการเปลี่ยนแปลงในองค์กร: องค์กรสามารถพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีหรือกลยุทธ์ใหม่ๆ

3. การประเมินผลการทำงานที่เป็นระบบ

การประเมินผลการทำงานช่วยให้พนักงานเข้าใจถึงความคาดหวังจากองค์กรและสามารถพัฒนาตนเองได้ตามคำแนะนำจากการประเมินผล การใช้ระบบ OKRs (Objectives and Key Results) หรือ KPI (Key Performance Indicators) ในการตั้งเป้าหมายและวัดผลการทำงานช่วยให้มีความชัดเจนในการประเมิน

ประโยชน์:

  • การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: การใช้ OKRs หรือ KPI ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและตรงกับกลยุทธ์ขององค์กร
  • การติดตามผลได้ง่าย: การใช้เครื่องมือดิจิทัลช่วยให้สามารถติดตามผลการทำงานของพนักงานและทีมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การพัฒนาและเติบโตของพนักงาน: พนักงานจะได้รับคำแนะนำในการพัฒนาและปรับปรุงผลงานตลอดเวลา

โปแกรมประเมิน 360 องศา EsteeMate
โครงสร้างงาน HR แบบครบวงจร
โปรแกรมประเมิน 360 องศา
วิธีการสร้างวัฒนธรรมการประเมิน 360 ที่โปร่งใส 
โปรแกรม KPI ทดลองใช้ฟรี 
KPI ฝ่ายขาย
KPI
KPIs
การประเมิน360 ของฝ่ายขาย
ข้อเสนอแนะแก่พนักงานฝ่ายขาย
การตั้งเป้าหมายและแผนพัฒนาฝ่ายขายกับการประเมิน360
โปแกรมประเมิน 360 องศา EsteeMate
โครงสร้างงาน HR แบบครบวงจร
โปรแกรมประเมิน 360 องศา 
โปรแกรม KPI ทดลองใช้ฟรี 
วิธีการสร้างวัฒนธรรมการประเมิน 360 ที่โปร่งใส
KPI ฝ่ายขาย
KPI
KPIs
การประเมิน360 ของฝ่ายขาย
ข้อเสนอแนะแก่พนักงานฝ่ายขาย
โปแกรมประเมิน 360 องศา EsteeMate
โครงสร้างงาน HR แบบครบวงจร
โปรแกรมประเมิน 360 องศา 
วิธีการสร้างวัฒนธรรมการประเมิน 360 ที่โปร่งใส
โปรแกรม KPI ทดลองใช้ฟรี 
KPI ฝ่ายขาย
KPI
KPIs
การประเมิน360 ของฝ่ายขาย
ข้อเสนอแนะแก่พนักงานฝ่ายขาย
การตั้งเป้าหมายและแผนพัฒนาฝ่ายขายกับการประเมิน360
โปแกรมประเมิน 360 องศา EsteeMate
โครงสร้างงาน HR แบบครบวงจร
โปรแกรมประเมิน 360 องศา 
โปรแกรม KPI ทดลองใช้ฟรี 
วิธีการสร้างวัฒนธรรมการประเมิน 360 ที่โปร่งใส
KPI ฝ่ายขาย
KPI
KPIs
การประเมิน360 ของฝ่ายขาย
ข้อเสนอแนะแก่พนักงานฝ่ายขาย
การตั้งเป้าหมายและแผนพัฒนาฝ่ายขายกับการประเมิน360

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *